สัญญาณของ “โรคตา” ที่ควรระวัง: ตาแห้ง ตาล้า และต้อกระจก

ดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่ช่วยให้เรารับรู้สิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจน การดูแลและสังเกตสัญญาณเตือนของโรคตาเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาการบางอย่างอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตาที่รุนแรงขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคตาที่พบได้บ่อย ได้แก่ ตาแห้ง ตาล้า และต้อกระจก พร้อมแนะนำวิธีสังเกตอาการและดูแลรักษาเบื้องต้น

1. ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome)

สาเหตุของตาแห้ง

ตาแห้งเกิดจากการผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือการระเหยของน้ำตาที่เร็วกว่าปกติ อาจมีสาเหตุมาจาก:

  • อายุที่เพิ่มขึ้น
  • การใช้คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน
  • การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีลมแรงหรืออากาศแห้ง
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต

อาการของตาแห้ง

  • รู้สึกระคายเคืองหรือแสบตา
  • เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา
  • ตาแดงหรือตาพร่าเมื่อใช้สายตานาน ๆ
  • น้ำตาไหลมากเกินไปในบางครั้ง ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อความระคายเคือง

การดูแลและป้องกันตาแห้ง

  • ใช้น้ำตาเทียมหรือเจลเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งหรือมีลมแรง
  • พักสายตาเมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน

2. ตาล้า (Eye Strain)

สาเหตุของตาล้า

การใช้งานสายตาอย่างหนัก เช่น การอ่านหนังสือ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการขับรถในระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการตาล้าได้ นอกจากนี้ การอยู่ในสภาพแสงที่ไม่เหมาะสมก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ

อาการของตาล้า

  • ปวดตาหรือปวดศีรษะ
  • ตาพร่าหรือมองเห็นไม่ชัด
  • รู้สึกว่าตาแห้งหรือมีน้ำตาไหล
  • ความสามารถในการโฟกัสลดลง

การดูแลและป้องกันตาล้า

  • ใช้กฎ 20-20-20: พักสายตาทุก ๆ 20 นาที โดยมองสิ่งที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต นาน 20 วินาที
  • ปรับแสงสว่างในห้องให้เหมาะสม
  • ใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่ช่วยกรองแสงสีฟ้าจากหน้าจอ

3. ต้อกระจก (Cataract)

สาเหตุของต้อกระจก

ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นไม่ชัด สาเหตุหลักมาจาก:

  • อายุที่เพิ่มขึ้น
  • การสัมผัสกับรังสี UV เป็นเวลานาน
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • โรคเบาหวาน

อาการของต้อกระจก

  • มองเห็นภาพเบลอหรือภาพซ้อน
  • ความไวต่อแสงเพิ่มขึ้น
  • มองเห็นสีไม่ชัดหรือสีจางลง
  • การมองเห็นในที่มืดลดลง

การดูแลและป้องกันต้อกระจก

  • สวมแว่นตากันแดดที่มีมาตรฐาน UV400
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามิน C และ E
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น

เมื่อไหร่ควรพบจักษุแพทย์?

หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์:

  • อาการปวดตาหรือสายตาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • การมองเห็นแย่ลงเรื่อย ๆ
  • มีสิ่งแปลกปลอมในตาที่ไม่สามารถกำจัดออกได้

การดูแลสุขภาพตาเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ หากเราสังเกตสัญญาณของโรคตาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ดวงตาของเรายังคงทำงานได้ดีและมีสุขภาพดีไปอีกนาน